ธ.ไทยพาณิชย์ ได้โพสต์ชี้แจงการลงโทษพนักงานสาวทำท่าหวิว
ดูทีวี : เมื่อธนาคารไทยพาณิชย์ โพสต์แจงได้ลงโทษทางวินัยสาวแบงค์ถ่ายภาพทำท่าหวิวแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม หลังจากในโลกออนไลน์ได้มีการแชร์รูปภาพของหญิงสาวแต่งกายคล้ายเครื่องแบบพนักงานธนาคารชื่อดังแห่งหนึ่ง โดยสาวสวยคนดังกล่าวโพสต์ท่าในอิริยาบถต่าง ๆ คล้ายกับอยู่ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในธนาคาร แต่ยังไม่รายงานที่ระบุอย่างแน่ชัด
ซึ่งหลังจากนั้นชาวเน็ตที่เห็นภาพดังกล่าวต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานา เนื่องจากบางภาพที่หญิงสาวคนนี้โพสต์ถ่ายรูปนั้นบางภาพดูไม่เหมาะสมเกินกว่าที่กระทำในที่ทำงาน
และล่าสุด หลังจากที่เป็นประเด็นฮอตทางธนาคารไทยพาณิชย์ได้โพสต์ชี้แจงในเฟซบุ๊ค SCB Thailand โดยระบุว่า "สำหรับเรื่องนี้ ธนาคารรับทราบแล้ว และได้ตักเตือนพนักงาน พร้อมทั้งลงโทษทางวินัยตามระเบียบธนาคารเรียบร้อยแล้วค่ะ โดยได้กำชับพนักงานทุกคนให้แต่งกาย และประพฤติตนให้เหมาะสม เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของธนาคารต่อไปค่ะ"
ซึ่งเมื่อเวลา 20.00 นาฬิกา 5 สิงหาคม โดยนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาเพื่อเด็กและสตรี ได้เปิดเผยว่า 1.พ.ต.อ.นภันต์วุฒิ เลี่ยมสงวน ผกก.สด. ประสาน 2.พ.ต.อ.วิทวัฒน์ ชินคำ ผกก.สน.ลาดพร้าว พร้อมกำลังเข้าช่วยเหลือเด็กอายุระหว่างแรกเกิดถึง 6 เดือน ลักษณะลูกครึ่ง ทั้งหมด 9 คน จากคอนโดฯภายในซอยลาดพร้าว 130 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ หลังมีพลเมืองดีแจ้งว่าอาจเป็นแหล่งพักเด็กทารกที่เกิดจากการอุ้มบุญ
เมื่อเจ้าหน้าที่เดินทางไปถึง ได้พบว่าที่ห้องพักซึ่งอยู่บริเวณชั้นล่างของอาคารชุดแห่งนี้ มีเด็กทารกอายุตั้งแต่แรกคลอดจนถึง 8 เดือน 4 คน นอนเล่นอยู่ภายในห้องพัก โดยเด็กแต่ละคนจะมีพี่เลี้ยงคอยดูแลอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง แต่เป็นที่น่าสังเกตคือเด็กทารกแต่ละคน หน้าตาคล้ายเด็กลูกครึ่ง ผิวพรรณดี ซึ่งตรงกันข้ามกับผู้ดูแลที่ดูเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา เมื่อได้สอบถามกับพี่เลี้ยงซึ่งเป็นคนไทย ทุกคนต่างระบุเหมือนกันว่าไม่ทราบว่าเด็กทั้งหมดเป็นลูกใคร เพราะทำหน้าที่เลี้ยงเด็กทารกทั้งหมดให้นายสำราญ ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง โดยจะได้ค่าจ้างเดือนละ 1 หมื่นบาท ส่วนนมผง ผ้าอ้อมสำเร็จรูปและของใช้สำหรับเด็ก นายสำราญจะเป็นคนคอยจัดหาให้ทั้งหมด
โดยที่เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบทั้งสองห้องแรกที่ชั้นล่างและที่ชั้น 7 พบว่า มีเด็กทารกอยู่ภายในห้องอีก 4 คน ที่ห้องพักชั้น 7 ยังพบกับหญิงชาวญี่ปุ่น ที่อ้างว่าเป็นมารดาของเด็กทารกเพศชายที่พบในห้อง โดยหญิงผู้นี้ แจ้งว่า บินมาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อรับเด็กคนนี้กลับไปเลี้ยง ที่บ้านในประเทศญี่ปุ่น แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ เพราะต้องรอตรวจสอบหลักฐานและเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเด็กทั้งหมดอีกครั้ง
และจากการที่ได้ตรวจสอบภายในห้องเรายังพบสมุดบัญชีการใช้จ่ายในการเลี้ยงเด็กทารก และตารางให้นมเด็กทารกที่ระบุยี่ห้อและปริมาณของนมผมที่จะชงให้เด็กแต่ละคน ทั้งนี้ รายการข่าวสามมิติ รายงานว่า นายรัฐประธาน ตุลาธร อ้างตัวเป็นทนายความและผู้ดูแลทางกฎหมายของเด็กอุ้มบุญทั้ง 9 คน ยอมรับว่า เด็กทั้งหมดเกิดจากการอุ้มบุญ โดยใช้น้ำเชื้อจากพ่อชาวญี่ปุ่นคนเดียวกันจริง พร้อมยืนยันทำถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง และเด็กได้รับการดูแลอย่างดี ไม่ใช่พี่เลี้ยง 1 คนต่อเด็ก 10 คนอย่างที่เข้าใจ โดยผู้เป็นพ่อของเด็กเป็นนักธุรกิจที่ร่ำรวยมหาศาล และต้องการมีลูกไว้คอยดูแลกิจการที่สร้างมา และผู้เป็นพ่อได้เดินทางมาเยียมลูกอย่างสม่ำเสมอ และล่าสุดเพิ่งเดินทางกลับไป และอยากประสานไม่ได้เอาผิดพี่เลี้ยงเด็กด้วย
ซึ่งอย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ตรวจสอบหลักฐาน ทางเจ้าหน้าที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้นำเด็กทั้งหมดไปดูแลที่สถานสงเคราะห์เด็กอ่อนปากเกร็ด จ.นนทบุรี แล้ว
(ภาพประกอบไม่เกี่ยวกับเนื้อหาข่าว)
เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม ผู้สื่อข่าวทีวีออนไลน์ได้รายงานว่า เมื่อเวลาประมาณ 17.15 นาฬิกา ที่ผ่านมา เครื่องบินของสายการบินไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD3187 ได้ขอสัญญาณลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต หลังพบความผิดปกติที่เครื่องยนต์
ซึ่งตามรายงานได้ระบุว่า เครื่องบินแอร์บัส เอ 320-200 สายการบินไทยแอร์เอเชีย เที่ยวบินที่ FD3187 ได้ออกเดินทางจากสนามบินนครศรีธรรมราช เมื่อเวลาประมาณ 16.20 นาฬิกา เพื่อมุ่งหน้าไปยังสนามบินดอนเมือง ในเวลา 17.40 น. แต่ปรากฏว่าภายหลังจากที่เครื่องบินบินขึ้นไปได้สักระยะ พบว่าบินชนนกและเข้าไปติดอยู่ที่เครื่องยนต์ จนเกิดเสียงดังผิดปกติถึงห้องผู้โดยสาร นักบินจึงตัดสินนำเครื่องบินกลับและขอลงจอดฉุกเฉินที่สนามบินนานาชาติภูเก็ต เมื่อเวลา 17.15 นาฬิกา ที่ผ่านมา
โดยที่ผู้โดยสารและลูกเรือทั้ง 153 คน ปลอดภัยดี ทางสายการบินได้จัดเครื่องบินลำใหม่ เพื่อลำเลียงผู้โดยสารที่ตกค้างเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ ล่าสุดผู้โดยสารทั้งหมดเดินทางถึงสนามบินดอนเมืองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเวลา 21.00 นาฬิกา
และอย่างไรก็ดี สำหรับเหตุการณ์ได้มีการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีนกบินชนเครื่องยนต์ของเครื่องบิน จนทำให้เกิดเหตุขัดข้องและผิดปกติ ซึ่งทางสายการบินจะดำเนินการซ่อมแซมต่อไป
โดยที่อธิบดีคดีพิเศษได้ย้ำ สอบพยานคดีไร่ส้มครบแล้ว เตรียมทำข้อเสนอส่งให้อสส. คาดว่าจะได้ข้อยุติเร็วๆ นี้
หลังจากที่นายชุติชัย สาขากร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ เปิดเผยถึงกรณีคณะทำงานร่วมระหว่างอัยการสูงสุด (อสส.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติเรียกเจ้าหน้าที่บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่เกี่ยวกับคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดพนักงาน อสมท บริษัท ไร่ส้ม จำกัด
ต้องขอขอบคุณภาพจาก INN
หลังจากที่ผู้สื่อข่าวทีวีออนไลน์ช่อง 5 ได้รายงานว่าวันที่ 4 สิงหาคม เมื่อเวลา 21.00 นาฬิกา สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุมีคนถูกยิงเสียชีวิต ในซอย 6 ที่ถนนวัดคลองน้ำเจ็ด ต.ทับเที่ยว อ.เมือง จังหวัดตรัง ที่เกิดเหตุพบศพ น.ส.หฤทัย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 17 ปี มีบาดแผลถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด 9 มม. รวม 4 นัด ที่หน้าอก ท้องน้อย น่องขวา และแขนขวา ตรวจสอบที่บริเณโดยรอบและพบกระสุนปืนขนาด 9 มม. มีจำนวน 7 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
หลังจากการที่ได้สอบสวนทราบว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียชีวิตได้โทรศัพท์ไปด่า นางสาวแนน ไม่ทราบชื่อจริง อายุ 17 ปี ถึงขั้นกล่าวว่าบุพการีและได้นัดเคลียร์กัน กระทั่งนายศราวุฒิ ไกรเทพ หรือ นิ่ง อายุ 22 ปี พี่ชายของ นางสาวแนน ได้ทราบเรื่อง จึงได้ขับกระบะมาพร้อมพวกชายหญิงรวม 4 คน มายังที่เกิดเหตุ เมื่อมาถึงจึงวิ่งกรูกันเข้าไปจับตัว ผู้ตายพยายามหนีแต่ไม่รอด ถูกนายศราวุฒชักปืนออกมากระหน่ำยิงใส่ไม่ยั้งจนเสียชีวิต ก่อนวิ่งขึ้นรถหลบหนีไป
โดยที่เบื้องต้น ทางเจ้าหน้าที่กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อออกหมายจับมาดำเนินคดีต่อไป
โดยที่ผู้สื่อข่าวรายได้งานว่า 5 สิงหาคม ในโลกออนไลน์ได้มีการพูดถึงคลิปวิดิโอ อาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ผู้ที่ได้สร้างวัดร่องขุ่น จังหวัดเชียงราย ซึ่งได้มีการพูดถึงไกด์ที่ต้องเรียกมาอบรมให้หมด หลังพานักท่องเที่ยวมาปล่อยทิ้งที่วัดร่องขุ่นอย่างกับหมูกับหมา และไม่เคยอธิบายนักท่องเที่ยวถึงความหมายของศิลปะภายในวัด แม้จะมีข้อมูลแจกฟรีให้อ่าน ต้องเรียกมาอบรมไม่งั้นการท่องเที่ยวฉิบหาย ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ อ.เฉลิมชัย ไกด์รับเงินจากนักท่องเที่ยวมา แล้วจะให้คนของวัดมาอธิบายไม่ได้ ถ้าไม่รู้ค่อยมาถาม แต่ไม่เคยถามอะไร ให้อ่านอะไรก็ไม่อ่าน แต่พานักท่องเที่ยวมาปล่อยทิ้ง
ซึ่งคลิปดังกล่าวนั้นมีคำหยาบคายมากมายตามสไตล์ อ.เฉลิมชัย ซึ่งชาวเน็ตพากันขำขันกับการจัดหนักพูดถึงไกด์ของ อ.เฉลิมชัย ในครั้งนี้
คุมตัว เสธ.เจมส์-เจนรณรงค์ รับทราบข้อเรื่องกล่าวหา ก่อนนำฝากขังผัดแรก
วันที่ 5 สิงหาคม ทางเจ้าหน้าที่ทหารพร้อมนายทหารพระธรรมนูญ คุมตัว พลตรีเจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ เสธ.เจมส์ ที่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำสำนักปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย นางสาวนงนุช สิทธิรัตน์ นายปานทองศิริวรรณ์ นางจันทิมา โชติกิตติเกษม และนางสาวสุรัตน์ พุ่มพวง รวม 5 คน มายังกองปราบปราม เพื่อแจ้งข้อกล่าวหา ประกอบด้วย
1. ความผิดฐานร่วมกันกรรโชกทรัพย์
2. ความผิดฐานเป็นคนกลางเรียก รับ หรือยอมรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่น มีอัตราโทษจำคุกซึ่งไม่เกิน 5 ปี และต้องปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือจะทั้งจำทั้งปรับ
3. ความผิดฐานฟอกเงิน
ซึ่งก่อนหน้านี้ พันโทบุรินทร์ ทองประไพ นายทหารพระธรรมนูญพล.ม.2 รอ. ได้นำเจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการเพื่อ เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษเพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.เจนรณรงค์ กับพวก โดยนำหลักฐานประกอบด้วย เงินสด 27,000 บาท สำเนาธนบัตรที่กลุ่มผู้ค้าได้จ่ายเงินค่าคุ้มครอง โทรศัพท์มือถือ 4 เครื่อง สมุดบัญชีที่มีการจดรายชื่อแผงค้าและยอดเงิน และหน่วยความจำหรือฮาร์ดดิสกล้องวงจรปิดของโรงแรมตะวันนา ถนนสุรวงศ์ เขตบางรัก มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานประกอบการพิจารณดำเนินคดี
โดยในระหว่างที่ถูกควบคุมตัวนั้น พลตรีเจนรณรงค์มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ยังไม่ได้ให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับสื่อมวลชน โดยขอเข้าให้ถ้อยคำกับพนักงานสอบสวนก่อน ขณะที่มีกลุ่มผู้ค้าจำนวนหนึ่งได้เดินทางมาให้กำลังใจพร้อมมอบดอกไม้ให้แก่พลตรีเจนรณรงค์
ทั้งนี้ หลังจากได้รับทราบข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจจะคุมตัวทั้ง 5 คนไปขออำนาจศาลอาญากรุงเทพใต้ ฝากขังผัดแรก
ต้องขอขอบคุณภาพและข้อมูลจากเฟซบุ๊ก กลุ่มคนอาสา กู้ชีพ กู้ภัย Thailand
ผู้สื่อข่าวทีวีออนไลน์ช่อง 7 ได้รายงานว่า 4 สิงหาคม เมื่อเวลา 18.30 นาฬิกา สภ.อู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี รับแจ้งเหตุมีรถบรรทุกพ่วง 18 ล้อ ชนกำแพง แล้วเกิดไฟลุกขึ้น เหตุเกิดที่สามแยกไปบ่อพลอย ม15 ต.จระเข้สามพัน จึงได้เดินทางไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานงานรถดับเพลิงจาก อบต.จรเข้สามพัน เทศบาล ต.ท้าวอู่ทอง และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยจักรนารายณ์ เจ้าหน้าที่ระดมฉีดน้ำควบคุมเพลิงเอาไว้ได้
และจากการสอบถามคนขับรถบรรทุกพ่วงให้การว่า ขับรถมาจอดติดไฟแดงที่สามแยกดังกล่าว เมื่อไฟเขียวได้เร่งเครื่องเพื่อจะออกตัว จากนั้นตนได้ยินเสียงดังเหมือนอะไรบางอย่างระเบิดที่ห้องเครื่องยนต์ จากนั้นเครื่องยนต์ได้หยุดทำงานควบคุมอะไรไม่ได้ จนรถไหลไปชนกำแพง จากนั้นได้เกิดไฟลุกท่วม
ซึ่งรถคันดังกล่าวได้ติดตั้งระบบ ก๊าซ NGV แล้วอาจเกิดเครื่องยนต์ขัดข้องจนเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่จะสอบสวนหาสาเหตุต่อไป
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น