นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 28 มกราคม ความคืบหน้ากลุ่มชาวนา จ.พิษณุโลก ที่ปักหลักชุมนุมกลางสี่แยกอินโดจีน เพื่อเรียกร้องให้รัฐาบลจ่ายเงินจำนำข้าว ทั้งนี้ มีรายงานว่า นายชาตรี อ่ำพูล แกนนำกลุ่มชาวนาในครั้งนี้ ได้หลั่งน้ำตาร้องไห้ หลังได้รับแจ้งจากภรรยาว่า คนในครอบครัวกำลังถูกข่มขู่ทำร้าย จากกลุ่มคนเสื้อแดงหากยังดื้อนำชาวนาเรียกร้องอยู่ นอกจากนี้ ยังถูกผู้นำท้องถิ่น ได้รับคำสั่งจากข้าราชการระดับสูงก็ยังเข้าไปบีบกดดันให้ยกเลิกเป็นแกนนำและพาม็อบสลายตัว
ทั้งนี้ นายชาตรี ระบุว่า กังวลห่วงครอบครัวจะจะหยุดการเรียกร้องก็ไม่ได้เพราะพี่น้องชาวนาทุกคนต่างเดือดร้อน เราอยากเรียกร้องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกเข้ามาช่วยเหลือ แต่ก็ถูกเมินเฉย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกัน เพราะตอนแรกผู้ว่าบอกว่าอยู่ข้างประชาชน แต่ก็เชื่อว่าผู้ว่าฯน่าจะกำลังหาแนวทางช่วยเหลือชาวนาที่เดือดร้อนอยู่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังจาก นายชาตรี ร้องไห้เล่าความทุกข์ที่ถูกกดดันดังกล่าว ชาวนาหลายคนที่ต่างประสบปัญหาต่างพากันร้องไห้ ตะโกนระบายความทุกข์ที่ถึงขั้นไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน และไม่มีเงินซื้ออาหารกินในครอบครัว เพราะตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ และครอบครัวตัวเองต่างทำนาและไม่ได้เงินเพราะนำข้าวเข้าโครงการจำนำทั้งหมด
น.ส.วราภรณ์ กัญญา อายุ 29 ปี ชาวนา อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ครอบครัวตน ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ต่างมีอาชีพทำนา สำหรับตนหลังจากแต่งงานสามีเป็นชาวนาจึงเช่าที่นาจำนวน 40 ไร่ ทำนาเป็นอาชีพหลัก ขณะที่พ่อแม่เช่าที่นา 150 ไร่ทำนา ซึ่งค่าเช่าต่อไร่ 3,000 บาท ต่อปี ด้วยชื่นชอบอาชีพการทำนา และต้องการปลูกข้าวให้คนได้กินอย่างไม่อดอยาก ทำให้อดทนทำนา ขาดทุนบ้าง เสียหายจากธรรมชาติบ้าง แต่ก็ยังพอมีกินมีใช้ แต่การทำนายุคนี้ มีต้นทุนเยอะมา เท่าที่คำนวณต้นทุนการทำนา 40 ไร่ของตน ต้องเสียค่าใช้จ่ายปุ๋ย ยา 80,000 บาท ค่าเช่านาไร่ละ 81,0000 บาท ค่าน้ำมันดึงน้ำเข้านาอีกครั้งไม่ต่ำกว่า 7,000 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศหลังจาก นายชาตรี ร้องไห้เล่าความทุกข์ที่ถูกกดดันดังกล่าว ชาวนาหลายคนที่ต่างประสบปัญหาต่างพากันร้องไห้ ตะโกนระบายความทุกข์ที่ถึงขั้นไม่มีเงินให้ลูกไปโรงเรียน และไม่มีเงินซื้ออาหารกินในครอบครัว เพราะตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ และครอบครัวตัวเองต่างทำนาและไม่ได้เงินเพราะนำข้าวเข้าโครงการจำนำทั้งหมด
น.ส.วราภรณ์ กัญญา อายุ 29 ปี ชาวนา อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ครอบครัวตน ตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ต่างมีอาชีพทำนา สำหรับตนหลังจากแต่งงานสามีเป็นชาวนาจึงเช่าที่นาจำนวน 40 ไร่ ทำนาเป็นอาชีพหลัก ขณะที่พ่อแม่เช่าที่นา 150 ไร่ทำนา ซึ่งค่าเช่าต่อไร่ 3,000 บาท ต่อปี ด้วยชื่นชอบอาชีพการทำนา และต้องการปลูกข้าวให้คนได้กินอย่างไม่อดอยาก ทำให้อดทนทำนา ขาดทุนบ้าง เสียหายจากธรรมชาติบ้าง แต่ก็ยังพอมีกินมีใช้ แต่การทำนายุคนี้ มีต้นทุนเยอะมา เท่าที่คำนวณต้นทุนการทำนา 40 ไร่ของตน ต้องเสียค่าใช้จ่ายปุ๋ย ยา 80,000 บาท ค่าเช่านาไร่ละ 81,0000 บาท ค่าน้ำมันดึงน้ำเข้านาอีกครั้งไม่ต่ำกว่า 7,000 บาท
ความหวังจากการนำข้าวไปจำนำไว้หวังว่าจะได้เงินเลย 329,000 บาท ก็มาถูกรัฐบาลโกง ไม่ยอมจ่ายเงินผลัดผ่อนอย่างไม่รู้กำหนดว่าจะได้เงินวันไหน ตอนลงมือทำนา เจอข้าวเป็นโรคจากสภาพอากาศหนาวเสียหายซ้ำเติม แต่ยังกัด ไป ฟันกู้เงินมาทำนาอีกครั้ง ยังไม่รู้ว่าถ้าได้รับเงินมาจะได้ใช้เปล่าต้องนำเงินมาชดใช้หนี้ที่ดอกเบี้ยมากมาย ล่าสุดตอนนี้ไม่มีเงินซื้อกับข้าว เงินให้ลูกไปกินขนมที่โรงเรียน ต้องไปกู้เงินนอกระบบยอมเสียดอกเบี้ยร้อยละ 2 บาท ไม่กู้ก็ไม่ได้เพราะไม่มีเงินเหลือเลย วันนี้ชาวนาทุกข์หนักจริงๆ
ติดตามข่าวด่วน เกาะกระแสข่าวดัง คลิกที่นี่!! ดูทีวีออนไลน์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น